แนวโน้มของโลกเราในอนาคต จะมีจำนวนประชากรบนโลกเพิ่มขึ้น และมีสัดส่วนของประชากรผู้อยู่อาศัยในเมืองมากขึ้น จากแนวโน้มที่ได้กล่าวมาทำให้เมืองใหญ่ที่ต่างๆ ในโลก มีการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่นำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารเมือง การจัดวางผังเมือง แจ้งเตือนภัยพิบัติ และประโยชน์ในด้านอื่นๆ ในบทความนี้จะพาไปดูแต่ละองค์ประกอบของ Smart City ว่ามีอะไรบ้าง และมีประโยชน์-ข้อคำนึงอย่างไรบ้าง

Smart City คืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง

Smart City หรือ เมืองอัจฉริยะ คือเมืองที่มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ มาประยุกต์ใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภายในเมือง และนำเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน นอกจากจะทำให้เมืองมีความทันสมัย มีสะดวกสบายขึ้น ยังช่วยลดค่าใช้จ่าย หรือทรัพยากรของเมืองได้ ซึ่งจะลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้คุณภาพอากาศดีขึ้น เมืองน่าอยู่ขึ้น สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยองค์ประกอบของ Smart City ประกอบไปด้วยด้านต่างๆ ดังนี้

1. พลเมืองอัจฉริยะ (Smart Citizens)

พลเมือง และผู้บริหารเมือง จะได้รับการพัฒนาองค์ความรู้ หรือทักษะต่างๆ ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงสามารถประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งนวัตกรรมที่หลากหลาย ส่งผลให้ใน Smart City มีความหลากหลายทางสังคมมากขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางสังคมลดลง

2. การบริหารของรัฐบาลอัจฉริยะ (Smart Government)

การบริหารของรัฐบาลในเมืองอัจฉริยะ จะมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มความรวดเร็วแก่ประชาชนในการเข้าถึงบริการของภาครัฐ อีกทั้งประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ ทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้

3. โรงงานอัจฉริยะ (Smart Manufacturing)

Smart Factory โรงงานอัจฉริยะ คือ ระบบโรงงานที่ผสมผสานเทคโนโลยี Automation เข้ากับ IoT และ AI ซึ่งจะสามารถช่วยลดต้นทุน ลดแรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต หรือเพิ่มจำนวนการผลิตได้ ยกตัวอย่างเช่น dIA Smart Factory มีระบบตรวจจับใบหน้า ระบบสัญญาณแจ้งเตือนพื้นที่หวงห้าม ระบบแจ้งเตือนกรณีอุปกรณ์เกิดความเสียหาย สามารถควบคุมเครื่องจักรได้จากระยะไกล ซึ่งจะมีการบันทึกข้อมูลต่างๆ ทำให้ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบการทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น

4. อาคารและสถานที่อัจฉริยะ (Smart Buildings)

Smart City ในอนาคต ประชากรจะพำนักอยู่ในอาคารเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นอาคารจะต้องมีระบบอัจฉริยะเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย dIA Smart Office มีระบบแจ้งเตือนกรณีมีบุคคลต้องสงสัยเข้ามาในพื้นที่ ระบบเปิดปิดประตูอัตโนมัติซึ่งใช้ประโยชน์จากระบบจดจำใบหน้า สามารถตรวจจับ และวิเคราะห์ใบหน้าได้ รวมถึงมีระบบลงเวลาการทำงาน สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นใคร เข้าทำงานเวลาใด และอยู่ที่ไหนในอาคาร

5. เกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Agriculture)

เกษตรกรรมอัจฉริยะ คือ การทำการเกษตรรูปแบบใหม่ในเมืองอัจฉริยะ ที่นำข้อมูลต่างๆ และเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการบริหารงาน เพื่อหาวิธีการทำงานที่เหมาะสม ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง สามารถลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ลดขั้นตอนการทำงาน ลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้สร้างผลผลิตได้อย่างยั่งยืน พร้อมวิเคราะห์สภาพอากาศ และค่าดินได้อีกด้วย

6. เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy)

เศรษฐกิจอัจฉริยะ คือ Smart City ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ยังช่วยผลักดันเมืองให้โดดเด่นในธุรกิจด้านใดด้านหนึ่ง โดยขึ้นกับนวัตกรรม และความเหมาะสมของเมืองนั้นๆ

ยกตัวอย่างเช่น การใช้บริการ dIA Smart Hotel/Restaurant ในการบริหารจัดการ เก็บข้อมูลทุกรายละเอียดความชอบ หรือประวัติการใช้บริการของลูกค้า ในธุรกิจประเภทโรงแรม และร้านอาหาร เพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะสร้างความประทับใจ หรือ การใช้บริการ dIA Smart Retail ในการขายสินค้า และบริการ สำหรับธุรกิจค้าปลีก ซึ่งจะช่วยส่งข้อมูลให้กับลูกค้าได้สะดวกขึ้น ปลอดภัยขึ้น ทำให้กระบวนการซื้อเร็วขึ้น

7. สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)

ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เน้นปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ และเฝ้าติดตามสภาวะแวดล้อมอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่างๆ ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และภูมิอากาศ เช่น ระบบจัดการน้ำ ระบบดูแลสภาพอากาศ และระบบการเฝ้าระวังภัยพิบัติ ซึ่งจะช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งยังส่งเสริมให้ Smart City เติบโตได้อย่างยั่งยืนยาวนาน

8. สุขภาพและการรักษาอัจฉริยะ (Smart Health)

โรงพยาบาล และสถานพยาบาลมีการให้บริการทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการใช้ระบบฐานข้อมูลเพื่อยกระดับการดูแลผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการรักษาเป็นไปได้อย่างราบรื่น ส่งผลให้ประชากรได้รับบริการทางสุขภาพที่ดีขึ้น อีกทั้งยังลดการใช้ทรัพยากรในสมาร์ทซิตี้ dIA Smart Hospital มีระบบการลงทะเบียนสำหรับผู้ป่วย การรับรองความถูกต้องด้วยระบบการจดจำใบหน้า ระบบการแจ้งเตือนกรณีฉุกเฉิน และระบบการวางแผนการดำเนินงาน ซึ่งจะทำให้การรักษาอัจฉริยะมีประสิทธิภาพขึ้นไปอีกขั้น

9. พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy)

พลังงานเป็นทรัพยากรหนึ่งที่มีคุณค่ามาก เมืองที่มีการบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะจะสามารถจัดการด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความสมดุลกันระหว่างการผลิตพลังงาน และการนำพลังงานไปใช้ ซึ่งสามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงาน รวมถึงเน้นการใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทางเลือก เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากระบบโครงข่ายไฟฟ้า

10. ระบบการขนส่งและคมนาคมอัจฉริยะ (Smart Transportation)

ระบบการขนส่ง และคมนาคมอัจฉริยะใน Smart City จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการติดตาม และวิเคราะห์การจราจรบนท้องถนน เพิ่มประสิทธิภาพไฟถนน เพื่อป้องกันการจราจรไม่ให้แออัดจนเกินไปในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน รวมถึงสามารถกำหนดเส้นทางการเดินรถ อัตราการใช้เชื้อเพลิง ดูรายงานต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาทำให้คนในเมือง Smart City สามารถประเมินการขับขี่เพื่อลดอันตราย และอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้

11. การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living)

การดำรงชีวิตอัจฉริยะ คือเมืองที่สนับสนุนการบริการที่อำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตแก่ประชาชน โดยใช้นวัตกรรมต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย เช่น บริการด้านสุขภาพที่คำนึงถึงสุขภาวะที่ดีของประชาชน การมีระบบเฝ้าระวังภัยเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีที่สำคัญในการสร้างเมืองอัจฉริยะ

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีระบบการทำงานได้เหมือนกับมนุษย์ สามารถที่จะเรียนรู้ ประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูล วางแผน แก้ไขปัญหาต่างๆ และเลียนแบบกิจกรรมของมนุษย์ได้ โดยเทคโนโลยี AI สำคัญที่ใช้ในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ มีดังต่อไปนี้

ระบบจดจำใบหน้าอัจฉริยะ (Smart Recognition)

ระบบจดจำใบหน้าอัจฉริยะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์กับเทคโนโลยีอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น การปลดล็อกสมาร์ตโฟนด้วยใบหน้า การสแกนใบหน้าเพื่อเข้าออกอาคาร การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และการใช้ยืนยันตัวตนการทำธุรกรรมต่างๆ โดยระบบตรวจจับใบหน้าหรือเทคโนโลยี Face Recognition คือ การตรวจจับใบหน้าของมนุษย์จากการเก็บข้อมูล ไบโอเมทริกซ์ ที่ได้จากกล้องวงจรปิด รูปภาพ หรือวิดีโอ และนำมาประมวลผลเพื่อใช้งานต่อไป

ระบบการวิเคราะห์ข้อมูลอัจฉริยะ (Smart Analytic)

การจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลมีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนา Smart City โดยการวิเคราะห์ข้อมูล Data Analytic คือ เครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจในด้านต่างๆ ได้ รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งาน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการพัฒนาธุรกิจ การทำการตลาด และการทำวิจัย

โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid)

โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นโครงข่ายไฟฟ้าที่นำเอาเทคโนโลยีหลากหลายประเภท มาผสมผสานในการทำงาน ทั้งระบบเซนเซอร์ ระบบการควบคุมอัตโนมัติ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น สามารถใช้ทรัพยากรน้อยลง มีความปลอดภัย ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะจะต้องครอบคลุมระบบไฟฟ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิต ระบบขนส่ง ระบบจำหน่าย และระบบของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วไปในเมืองอัจฉริยะ โดยจะสามารถรับข้อมูลได้แบบ Real Time รวมถึงเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลได้

ระบบไอซีทีอัจฉริยะ (Smart ICT)

ระบบไอซีทีอัจฉริยะ คือ ระบบเน็ตเวิร์กไอที เช่น Leased Line และ Cloud PBX ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายที่ช่วยในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ให้เชื่อมถึงกันได้ภายในอาคาร หน่วยงาน และชุมชน ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา และสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เพื่อความยืดหยุ่นในการบริหาร เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อาศัยใน Smart City ได้หลากหลายมิติมากขึ้น

ประโยชน์และข้อควรคำนึงของเมืองอัจฉริยะ

การสร้างเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City มีข้อดีข้อเสีย หรือข้อที่ต้องคำนึงถึงที่ควรนำมาพิจารณา ดังนี้

ประโยชน์ของเมืองอัจฉริยะ

  • คุณภาพชีวิตของพลเมืองใน Smart City มีความปลอดภัยมากขึ้น
  • สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารได้สะดวก รวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา
  • นวัตกรรมมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ประชาชนสามารถปรับตัวและเรียนรู้ได้รวดเร็ว
  • นวัตกรรมต่างๆ สามารถใช้งานได้ทั้งบุคคลทั่วไป และบุคคลพิเศษ
  • การบริหารจัดการเมือง และการประสานงานในหน่วยงานต่างๆ สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างของเมืองอัจฉริยะในปี 2023-2024

การสร้างเมืองอัจฉริยะ ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในเมืองดีขึ้น การบริหารจัดการเมืองในด้านต่างๆ ก็ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันมีหลายเมืองที่กำลังทำ Smart City และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไปดูกันว่ามีเมืองไหนบ้าง

นิวยอร์ก (New York)

ในนิวยอร์กได้มีโครงการสร้างเมืองให้เป็น Smart City โดยติดตั้งเซนเซอร์ และเทคโนโลยีอัจฉริยะทั่วทุกเขต ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการจัดการบริการต่างๆ ช่วยแก้ปัญหาการจราจรติดขัด ติดตั้งระบบตรวจจับการรั่วไหลของน้ำสะอาด การใช้ไฟ LED สำหรับการทำเกษตรกรรมในร่ม และระบบตรวจสอบคุณภาพของอากาศ พร้อมสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากร และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

โตเกียว (Tokyo)

โตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีการสร้าง Smart City โดยวางระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าให้สามารถเข้าถึงจังหวัดอื่นๆ ได้ง่ายและสะดวก นอกจากนี้ยังมีการย้ายโครงสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ไปในใต้ดินให้ได้มากที่สุด เร่งให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานทดแทน รวมถึงมีโครงการด้านสิ่งแวดล้อมโดยการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้นในเมืองโตเกียวแห่งนี้

สิงคโปร์ (Singapore)

รัฐบาลสิงคโปร์มีเป้าหมายในการเป็นเมืองอัจฉริยะที่จะใช้เทคโนโลยีในการสร้างงานและสร้างรายได้ รวมถึงการทำให้ประเทศเป็นสังคมไร้เงินสด โดยการใช้จ่ายทั้งหมดจะผ่านระบบ e-Payment อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการป้องกันความเป็นส่วนตัวของประชาชน และพัฒนาระบบขนส่ง รถยนต์ไร้คนขับ ระบบสาธารณสุข และการแพทย์ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต

Smart City คือ เมืองอัจฉริยะที่มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ในด้านต่างๆ ทำให้ประชาชนมีความสะดวกสบาย ปลอดภัย ลดการใช้ทรัพยากร ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สามารถหาขั้นตอนการทำงานต่างๆ ที่เหมาะสม และได้ประสิทธิภาพสูง ช่วยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เมืองน่าอยู่ขึ้น พร้อมรองรับจำนวนประชากรในเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ให้สามารถเติบโตได้ต่อไปอย่างยั่งยืน

สนใจ products ของ DIA สามารถติดต่อ DIA ได้ที่ www.dia.co.th หรือ โทร (+66) 95 8268778